1. เทศกาลปีใหม่ : ชาวญี่ปุ่นเฉลิมฉลองการผ่านไปของหนึ่งปีและการมาถึงของปีต่อไปด้วยศรัทธาแรงกล้า
ระยะเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเรียกว่า "โชงัท
สึ"(しょうがつ) หมายถึง
เดือนแรกของปี ประชาชนจะประดับประดาทางเข้าบ้านด้วยกิ่งสนและพู่ระย้าที่ทำจากฟาง
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ป้องกันมิให้สิ่งมัวหมองเข้ามาแผ้วพาน
ของตกแต่งในวันปีใหม่ของชาวญี่ปุ่นเริ่มที่ “คาโดมัทสึ”(かどまつ)(門松) ซึ่งชื่ออาจฟังดูเข้าใจยากสักหน่อย แต่เจ้าสิ่งนี้นั้นถูกนำมาเพื่อใช้ต้อนรับวิญญาณบรรพบุรุษและเทพเจ้าแห่งปี
เพื่อเป็นการขอพรให้มีอายุยืนยาว มีความเจริญรุ่งเรือง และให้มีความมั่นคงในชีวิต
โดยเจ้าสิ่งนี้จะวางไว้ที่หน้าประตูบ้าน อาจจะข้างเดียวหรือ 2 ข้างของประตูก็ได้ (ความเชื่อแฝงเกี่ยวกับฮวงจุ้ย) คาโดมัทสึนั้นประกอบด้วยกิ่งสนใหญ่
ไม้ไผ่และช่อดอกบ๊วย ซึ่งช่อดอกบ๊วยถือเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าแห่งปี
ซึ่งขอย้อนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคะโดะมัทซึอีกสักเล็กน้อย
ค่อนข้างแฝงความเชื่อที่ว่าประตูจะมีมุมประตู เป็นเหลี่ยมๆ
การใช้ดอกไม้ไปประดับตรงแต่ละมุมทั้งสองมุมนั้น จะเป็นการลบมุม
ลบเหลี่ยมประตูตรงนั้นด้วย ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นทำให้ความหมายดี
ก็ทำนองคล้ายๆแนวฮวงจุ้ย
ส่วนของตกแต่งอย่างอื่นที่ทำแบบง่ายๆก็มีอย่างเช่น “ชิเมคาซาริ”(しめかざり) ของใช้ประดับวันปีใหม่เช่นกัน
ประกอบด้วย เชือกศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำด้วยฟางข้าว มีแถบกระดาษสีขาวห้อยเป็นพู่
ประดับพร้อมกับ กุ้งมังกร ส้ม และใบเฟิร์น
ชาวยุ่นจะแขวนไว้ที่หน้าบ้านด้วยความเชื่อว่า
จะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากบ้านเนื่องในโอกาสวันปีใหม่
โดยความหมายที่น่าสนใจอย่างกุ้งมังกรจะหมายถึงอายุยืนยาวส่วนส้มถือว่าหมายถึงเป็นสิ่งแสดงสุขภาพที่แข็งแรงของสมาชิกในครอบครัวโดยเชื่อว่าบ้านเมื่อแขวนชิเมคาซาริแล้วเชื่อว่าบ้านบริสุทธิ์สิ่งชั่วร้ายเข้าไม่ได้นั่นเอง
ความเชื่อของชาวญี่ปุ่นในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่
ทันที ที่วัดตีระฆังส่งท้ายปีเก่า หรือสัปดาห์แรกของปีใหม่
คนญี่ปุ่นจะไปวัดชินโตหรือวัดพุทธเป็นครั้งแรก โดยผู้คนจะโอนเงินลงในกล่อง และขอพร
ให้มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากไหว้พระแล้วก็จะมีการซื้อโอมาโมริ เครื่องรางนำโชคหรือลูกศรศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งมีขนนกสีขาวประดับอยู่ มีการเสี่ยงเซียมซี ใบเซียมซีเขียนด้วยตัวคันจิ
ว่าจะดีหรือร้าย ถ้าไม่ค่อยดี ก็จะผูกไว้กับกิ่งไม้ในวัดเพื่อให้ดวงชะตาดีขึ้น
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ดูไปดูมาก็คลับคล้ายคลับครากับของบ้านเรา
ที่ปีใหม่จะมีการทำบุญตักบาตร ไปไหว้พระ ฟังเทศน์กันที่วัด
ตามแต่ละความเชื่อและศรัทธาของแต่ละคนกันไป ยิ่งกว่านั้นยังมีความเชื่อที่น่าสนใจ
ในช่วงหลังปีใหม่ไม่นาน ที่น่าสนใจอย่าง ประเพณีทานข้าวต้มใส่สมุนไพร 7 ชนิด
ของฤดูใบไม้ผลิ ในวันที่ 7 ของปีใหม่ ด้วยเหตุผล ตามที่ทราบ
ๆ จากคนญี่ปุ่นนั้น ว่ากันมาว่า เชื่อกันว่าจะช่วยป้องกันโรคหวัด และโรคอื่น ๆ
ไม่ให้มากล้ำกราย ประเพณีนี้มีเริ่มแรกในสมัยเฮอัน และพวก สมุนไพร 7 อย่างในฤดูใบไม้ผลิของเขา นั่นก็ได้แก่ ซูซูชิโระ(すずしろ) ซูซูนะ(すずな) เซริ(せいり) นาซูนะ(なすうな) โกะเงียว(ごぎょう)โฮโตเคโนะซะ(ほとけのざ) ฮาโกเบระ(はこべら)
2. เทศกาลเซ็ตสึบุน : เซ็ตสึบุน หมายถึงวันที่ 3 หรือ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิตามประเพณี
มีการหว่านถั่วแดงอะซุกิ(あすき) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลออกจากบ้านซึ่งมีการจัดพิธีนี้ตามวัดและศาลเจ้าด้วย
ประวัติคราวๆ คือเริ่มมีมาตั้งแต่สมัย มุโรมาจิจิได(ประมาณคริสศตวรรษที่
17) และก็กระทำติดต่อเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อถึงวันนี้ในแต่ละบ้านจะให้พวกผู้ชาย คือ
พ่อและก็ลูกชาย ใส่หน้ากากผี ปีศาจ ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของความชั่วร้าย แล้วก็เอาถั่วหว่านเข้าไป แล้วก็พูดว่า “โอนิวะโซโตะ”
鬼は外 ( おに はそと)แปลว่าสิ่งอัปมงคลทั้งหลายจงออกไปและจะโปรยถั่วจากข้างนอกเข้าไปในบ้านและตะโกนว่า“ฟุกุสะอุจิ” 福は内 ( ふくはうち) แปลว่าความเป็นสิริมงคลจงเข้ามานอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า
ให้กินถั่วจำนวนเม็ดเท่ากับอายุของตัวเอง
จะทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วยไปตลอดปี
3. เทศกาลแห่งดวงดาว(Tanabata) : ตามตำนานกล่าวว่าดวงดาววีก้า(Orihime)
ที่อยู่ทางทิศตะวันออกคือเจ้าหญิงทอผ้าธิดาของเจ้าครองฟ้าและดวงดาวอัลแทร์(Hikohoshi)
ที่อยู่ทางทิศตะวันตกคือหนุ่มเลี้ยงวัวด้วยความรักอันดื่มด่ำที่ทั้งสองคนมีให้แก่กันเป็นเหตุให้เจ้าหญิงละวางงานทอผ้าที่เคยใส่ใจเป็นเหตุให้พระบิดาขุ่นเคืองจึงกั้นขวางดาวทั้งสองไว้คนละฝั่งฟ้าด้วยทางช้างเผือกและในคืนวันที่7
เดือน7 ของทุกปี คือคืนที่ดาวทั้งสองดวงจะโคจรมาใกล้กันมากที่สุดชาวเมืองเซนไดจึงเฉลิมฉลองด้วยการประดับประดาดาวกระดาษดวงใหญ่ให้ปลิวไสวไปทั่วทั้งเมืองมีการนำกระดาษ5
สีหรือ(Tanzaku)มาเขียนคำอธิษฐานทั้งเรื่องความรักและตัดกระดาษเป็นรูปคล้ายๆโซ่แทนสัญลักษณ์ของทางช้างเผือกนำไปแขวนไว้ที่ต้นไผ่และยังมีขบวนพาเหรดใหญ่โตสวยงามเทศกาลนี้จึงมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากที่สุดอีกเทศกาลหนึ่งโดยเฉพาะจังหวัดมิยากิและจังหวัดคานางาวะ
เมืองฮิระสึกะ
4. เทศกาลฮานามิ (Hanami Festival) : 1-15 เดือนเมษายนของทุกปี
เทศกาลชมดอกซากุระบาน ช่วงเวลาแห่งความสุข
ประจำฤดูใบไม้ผลิ เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัย“เฮอัน” แต่ยุคนั้นจำกัดไว้ในหมู่ขุนนางชั้นสูง และชนชั้นผู้ดีโดยเฉพาะ
มีการประกวดแต่งกลอน“ไฮกุ” กลอนไฮกุมี
17 พยางค์ บรรทัดแรก 5 พยางค์
บรรทัดต่อมามี 7 พยางค์ บรรทัดสุดท้าย มี 5 พยางค์ ใช้ภาษาเรียบง่าย สั้นๆได้ใจความ บรรทัดสุดท้าย ทิ้งท้ายให้คิด
หรือจบแบบพลิกความคาดหมาย และร้องรำทำเพลงต่อมาจึงเริ่มแพร่หลายไปสู่ชาวบ้าน
ทุกวันนี้เมื่อถึงช่วงเวลาที่ซากุระออกดอกทุกคนจะพากันออกมาชมความงามสะพรั่ง
สถานที่ต่างๆที่เป็นจุดชมดอกซากุระบาน จะมีการออกร้านขายของกันอย่างสนุกสนาน
ครอบครัว เพื่อนฝูง จะนัดกันออกมาปิกนิก ปิ้งบาร์บีคิว ดื่มสาเกตามสวนสาธารณะ
5. เทศกาลโอบง(Obon): จัดทุกวันที่
13-16 เดือนสิงหาคมของทุกปี
ชาวญี่ปุ่นเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงนี้
เพื่อทำความสะอาดหลุมฝังศพและเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ
เพราะเชื่อกันว่าดวงวิญญาณคนตายจะกลับลงมาเยี่ยมโลกตามบ้านเรือน
จึงมีการจุดตะเกียงหรือคบเพลิงเพื่อส่องนำทางดวงวิญญาณให้กลับบ้านถูก
ในเทศกาลมีการร่ายรำพื้นบ้านโบราณบงโอโดริ(Bon Odori)อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
โดยชาวญี่ปุ่นจะสวมยูกาตะ และต้องสวมถุงเท้าที่เรียกว่า“Zori” และรองเท้าเกี๊ยะ ที่เรียก “Geta”เท่านั้น
ถึงจะถูกต้องประเพณี ในวันที่ 13-15 สิงหาคม ก็มีการจัดพิธีกรรมเพื่อบูชาบรรพบุรุษ
โดยการจุดไฟต้อนรับที่หน้าประตูบ้าน และถวายผักหน้าแท่นบูชา เอาปักไว้บนตะเกียบ
แล้วในตอนเย็นของวันที่ 15 ก็มีการส่งวิญญาณบรรพบุรุษด้วยการจุดไฟที่
เรียกว่า โทโรนางาชิ เป็นโคมกระดาษมีเทียนจุดไฟอยู่ภายใน แล้วนำไปลอยในแม่น้ำ
เพื่อนำทางให้วิญญาณบรรพบุรุษลอยออกสู่ทะเล
แต่พิธีการลอยโคมไฟของแต่ละท้องถิ่นก็แตกต่างกันไป
6.เทศกาลกิออน (Gion Matsuri) : จัดที่เกียวโต ในวันที่ 1-15 กรกฎาคมของทุกปี งานเทศกาลของศาลเจ้า Yasaka เป็นหนึ่งใน 3 เทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของเกียวโต และยังเป็น 1 ในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่19 จุดประสงค์ดั้งเดิมของเทศกาลนี้ก็คือ
การขับไล่ปิศาจที่เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคภัย ขบวนพาเหรดบอลลูนหรูหราตระการตา 12
ลูก ถูกแห่รอบเมืองเกียวโต ในงานมีการโชว์
Kasahoko ลักษณะคล้ายลูกโป่งขนาดใหญ่ หลากหลายรูปร่าง
บางลูกมีความสูงถึง 6 เมตร
นี่คือเทศกาลที่ชาวเมืองเกียวโตให้ความสำคัญและโด่งดังไปทั่วโลก
7. เทศกาลยามค่ำคืน (Chichibu Night Festival) : เทศกาลที่จัดชึ้นในยามค่ำคืนของวันที่
2 ธันวาคมของทุกปีจัดแสดงที่Saitama มีการแสดงละครคาบูกิซึ่งถือว่าเป็นละครภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวญี่ปุ่น
ที่สึบทอดยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 รูปแบบการแสดงจะใช้นักแสดงชายที่เรียกว่า“อันนะงาตะ” ร่ายรำเล่าเรื่องตลกชวนหัวเราะเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาสอดแทรกแง่คิดไปด้วยในวันนี้ละครคาบูกิจะถูกแสดงบนบอลลูนอันหรูหราพร้อมด้วยดนตรีพื้นบ้านChichibu
ที่มีชีวิตชีวาและในยามค่ำคืนจะมีการจุดพลุ 18,000 ลูกตื่นตากับรัศมีของพลุที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 310 เมตรสว่างไสวไปทั้งเมือง
8. เทศกาลหิมะ
Snow Festival : จัดที่ Sapporo
ทุกเดือนกุมภาพันธ์ อากาศที่หนาวเย็น ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมุ่งหน้าสู่เมืองซับโปโร
บนเกาะฮอกไกโด เพื่อร่วมสนุกสนานกับเทศกาลหิมะ ซึ่งเริ่มจัดตั้งแต่ปี 1950 ซึ่งจัดขึ้นที่ Odori Park ประกอบด้วยจุดเยี่ยมชม 3
จุด ได้แก่ Odori site, Sato-Land site และ Susukino
site โดยจุดเด่นของงานอยู่ที่รูปสลักน้ำแข็งสถาปัตยกรรมสำคัญต่างๆ และในงาน Sapporo Snow Festival ครั้งที่ 58
มีจุดเด่นที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทของไทย สลักจากหิมะสามพันลูกบาศก์เมตร ระดมทหารญี่ปุ่นราว
3,000 คน มาช่วยกันแกะสลัก ใช้เวลา 1 เดือน
เพื่อเป็นการให้เกียรติประเทศไทยในโอกาสฉลอง 120 ปี
ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปชมกว่า
2 ล้านคน
9. เทศกาลตุ๊กตา : เทศกาลตุ๊กตาหรือ "ฮินะมัทสึริ"(ひなまつり) มีขึ้นในวันที่3 มีนาคมของทุกปี
ฮินะมัทสึริหรือเทศกาลสำหรับเด็กผู้หญิง เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ หรือประมาณปี
ค.ศ. 1603-1867 ในอดีตชาวญี่ปุ่นเรียกเทศกาลนี้ว่า
เทศกาลลูกท้อหรือ Momo-no-Sekku หากบ้านใดที่มีลูกสาว
พ่อแม่ต้องเตรียมทำชั้นวางตุ๊กตาฮินะ ประกอบด้วยตุ๊กตาจักรพรรดิและจักรพรรดินี
นางสนองพระโอษฐ์ 5 คน นักดนตรี 5 คน
แต่งตัวอย่างสวยงามเต็มยศพร้อมข้าวของเครื่องใช้นำไปวางไว้กับลูกท้อ
เค้กที่ทำจากข้าว ขนมที่มีสีขาว-แดง และสาเก
วันนั้นจะมีการเฉลิมฉลองกันอย่างเบิกบาน
โดยพ่อแม่จะอธิษฐานขอพรให้กับลูกสาวโตขึ้นอย่างมีความสุข ข้อดีของเทศกาลนี้ คือ
การยกย่องเพศหญิงซึ่งในอนาคตจะต้องดูแลบุตรให้เติบโตต่อไป
10. เทศกาลวันเด็กผู้ชาย : คือวันที่ 5
พฤษภาคม เทศกาลนี้จัดขี้นสำหรับเด็กผู้ชายเท่านั้น
บ้านไหนที่มีลูกชายจะประดับว่าวปลาคาร์ฟยาว 1-2 เมตรให้ปลิวไสวตามจำนวนบุตรชาย
ในบ้านมีการจัดพิธีบูชาตุ๊กตานักรบ ซึ่งประกอบด้วยเสื้อเกราะ
หมวกเกราะหรือที่เรียกว่า “โกะงัสสึ นิงเงียว”เพื่ออธิษฐานขอให้บุตรชายที่รักมีสุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บ
นอกจากนี้ยังมีการใช้ดอกโชบุและดอกคะชิวะและโมะติ
ประดับไว้กับตุ๊กตานักรบที่ชื่อว่า Kabuto และมีการดื่มสาเกฉลองเช่นเดียวกับเทศกาลวันเด็กผู้หญิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น